42 km/h ฟาน อานโฮลท์ คือฟูลแบ็คที่เร็วที่สุดในลีก เขาชอบวิ่งเติมขึ้นไปช่วยเกมรุก หาที่วางในการจบสกอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม 1. เลอรอย ซาเน - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ Top speed: 35. 48 km/h ซาเน เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในซีซันนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของเกมรุกอันเร้าใจของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา แถมยังโชว์ฟอร์มส่วนตัวได้ร้อนแรงทั้งซีซันอีกด้วย สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง เท่านั้น! * ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใด ๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด
a) couldn't go b) can't go c) couldn't went 12) "What are you doing here? " -> She asked what I ___ there. a) am doing b) have done c) was doing 13) "Do you like listening to music? " -> She asked if I ___ listening to music. a) like b) liked c) did like 14) "Have you bought any carrots? -> They asked if I ___ any carrots. a) have bought b) bought c) had bought ต้องลงชื่อเข้าใช้ ธีม แบบ อักษร ตัวเลือก ลีดเดอร์บอร์ด ลีดเดอร์บอร์ดนี้ตอนนี้เป็นส่วนตัว คลิก แชร์ เพื่อทำให้เป็นสาธารณะ ลีดเดอร์บอร์ดนี้ถูกปิดใช้งานโดยเจ้าของทรัพยากร ลีดเดอร์บอร์ดนี้ถูกปิดใช้งานเนื่องจากตัวเลือกของคุณแตกต่างสำหรับเจ้าของทรัพยากร สลับแม่แบบ การโต้ตอบ รูปแบบเพิ่มเติมจะปรากฏเมื่อคุณเล่นกิจกรรม
เรามักจะเห็น direct speech ใช้ในหนังสือหรือบทความในหนังสือพิมพ์ เช่น The local MP said, "We plan to make this city a safer place for everyone. " จะเห็นได้ว่าเวลาที่ใช้ direct speech เรามักจะใช้ verb 'to say' ('said' ถ้าเป็นอดีต) แต่คุณอาจจะใช้ verb ตัวอื่นเพื่อบอก direct speech ได้ เช่น 'ask', 'reply', และ 'shout' เช่น When Mrs Diaz opened the door, I asked, "Have you seen Lee? " She replied, "No, I haven't seen him since lunchtime. " The boss was angry and shouted, "Why isn't he here? He hasn't finished that report yet! " Indirect Speech เวลาที่เราอยากจะนำคำพูดของคนอื่นมาบอกต่อ แต่ไม่ได้ต้องการใส่เครื่องหมายอัญประกาศหรือต้องการลอกคำพูดคนอื่นมาทุกคน เราสามารถใช้ indirect speech (หรือบางทีเรียกว่า reported speech) เช่น Direct speech: "We're quite cold in here. " Indirect speech: They say (that) they're cold. เวลาที่เรานำคำพูดคนอื่นมาบอกต่อในปัจจุบัน ดังตัวอย่างในประโยคข้างบน เรามักจะไม่ต้องเปลี่ยน tense แค่เปลี่ยน subject ของประโยค แต่เวลาที่เราเล่าถึงคำพูดคนอื่นในอดีต เราจะเปลี่ยน tense ให้เป็นอดีตที่ลึกขึ้นไปหนี่งขั้น เช่น ดังตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้ present simple ถอยลงไปเป็นอดีตหนึ่งขั้นคือ past simple ในประโยค indirect speech Direct speech: "I have a new car. "
Direct speech: "How will they get here? " Indirect speech: She asked me how they would get here. เวลาที่เรานำประโยคคำถามมาเล่าต่อ เรามักจะใช้ verb 'ask' โดยจะเหมือนกับ verb 'tell' ตรงที่ต้องมีกรรมตามมาเช่นกัน แต่ว่าสามารถละได้ การนำประโยคคำสั่งและขอร้องมาบอกต่อ เวลาที่เราสั่งใคร เราจะใช้รูปประโยคคำสั่ง ซึ่งก็คือละ subject และใช้ verb ขึ้นต้นประโยค เช่น: " Call me back later. " " Have a seat. " " Don't do that! " การนำประโยคคำสั่งมาบอกต่อ เราจะใช้ 'tell' ตามด้วยรูป infinitive ของ verb ที่จะสั่ง เช่น: You told me to call you back later. He told me to have a seat. She told us not to do that. เวลาที่เราขอร้อง เรามักจะใช้คำว่า 'can', 'could', หรือ 'will' เช่น: "Could you call me back later? " "Will you have a seat? " "Can you not do that please? " ถ้าจะนำประโยคขอร้องมาบอกต่อ ให้ใช้ verb 'to ask' และรูป infinitive ของ verb ที่จะขอ เช่น: You asked me to call you back later. He asked me to have a seat. She asked us not to do that. ตอนนี้เราคงได้เห็นวิธีใช้ direct และ indirect speech กันไปแล้ว ลองเอาไปฝึกใช้กันนะคะ วิธีการง่าย ๆ และได้ผลที่จะทำให้เข้าใจว่าเรื่องนี้ใช้อย่างไร คือการลองไปอ่านเรื่องสั้นภาษาอังกฤษหรือข่าวออนไลน์ดูค่ะ เพราะเรื่องสั้นและบทความเหล่านี้จะมีตัวอย่างของประโยค reported speech อยู่เยอะเลยค่ะ
จบไปแล้วสำหรับสรุปเนื้อหาของเรื่อง Report speech เรื่องนี้ไม่ได้ยาก และไม่ได้เยอะ แต่สิ่งที่จะต้องจำจริงๆ นั้นคือ 3 จุดสังเกตุการเปลี่ยนที่ได้อธิบายไปครับ บทความต่อไปเป็นเรื่อง "Relative Clause" ฝากเพื่อน ติดตามด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ความรู้ Grammar TOEIC สำหรับเตรียมสอบด้วยตัวเอง
Direct speech: "I haven't seen them since last week. " Indirect speech: She said she hadn't seen them since the previous week. การนำประโยคคำถามมาบอกต่อ เวลาที่นำประโยคคำถามของคนอื่นมาบอกต่อ เราจะต้องเปลี่ยนจากประโยคคำถามเป็นประโยคบอกเล่า และเปลี่ยน tense ให้เป็นอดีตที่ลึกขึ้นไปอีกหนี่งขั้น เช่นเดียวกับประโยค reported speech ปกติ คำถามที่เรานำมาบอกต่อได้มีอยู่สองประเภท นั่นคือคำถามที่ตอบด้วย yes/no และคำถามที่ขึ้นต้นด้วย 'what', 'where', 'who' เป็นต้น ถ้าประโยคนั้นเป็นประโยคที่ตอบด้วย yes/no เราจะใช้ 'if' เข้ามาแทน เช่น Direct speech: "Do they live here? " Indirect speech: You asked me if they lived here. ดังที่เห็นในตัวอย่าง เมื่อนำมาพูดต่อ เราตัด verb 'do' ในประโยคคำถามทิ้ง และเปลี่ยน tense ของ verb 'live' เป็น 'lived'. ส่วนคำถามที่ขึ้นต้นด้วย 'what', 'where', 'when', 'who', เป็นต้น เราจะยังคำเหล่านี้ไว้ แต่เปลี่ยนจากประโยคคำถามให้เป็นประโยคบอกเล่า เช่น Direct speech: "Where do they live? " Indirect speech: You asked me where they lived. Direct speech: "When are you leaving? " Indirect speech: He asked us when we were leaving.
Indirect speech: He said he had a new car. การเปลี่ยน tense ในประโยค indirect speech สรุปเอาไว้ในตารางด้านล่างนี้: กฎในการลด tense ให้เป็นอดีตไปอีกหนึ่งขั้นใช้กับกริยาช่วยด้วยเช่นกัน เช่น ใช้ 'say' หรือ 'tell' Verb อีกด้วยที่เราใช้แทน 'say' ได้คือ 'tell' (หรือ 'told' ในอดีต) ในประโยค reported speech แต่ถ้าใช้ verb 'tell' เราจะต้องมีกรรมตามมา เช่น: He told me he was going to call Alan. They told her they would arrive a little late. You told us you'd already finished the order. การเปลี่ยนคำบอกเวลา บางครั้งในประโยค report speech เราจะต้องเปลี่ยนคำบอกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วคำบอกเวลาที่ใช้ในต้นฉบับไม่เหมาะสมอีกต่อไป เช่น Direct speech: "I'm seeing my brother tomorrow. " Indirect speech: She said she was seeing her brother the following day. ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติมกันค่ะ: Direct speech: "I had a headache yesterday. " Indirect speech: You said you'd had a headache the day before yesterday. Direct speech: "It's been raining since this afternoon. " Indirect speech: He said it'd been raining since that afternoon.